สมัครงานกับทีมงานบ้านไม่บาน คลิกอ่านรายลัเอียดด้านใน

โปรดระวังบุคคลที่ไม่ประสงค์ดีแอบอ้างใช้ชื่ออาจารย์เชี่ยว   ชอบช่วย หรือ   ผศ.ดร.ภัทรพล   เวทยสุภรณ์  และสำนักงานบ้านไม่บานไปใช้ในการหลอกลวงให้หลงเชื่อในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์,การออกแบบ,การก่อสร้าง  ฯลฯ  ซึ่งทางสำนักงานบ้านไม่บานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ  ทั้งสิ้น  หากท่านต้องการติดต่อกับทางสำนักงานต้องติดต่อโดยตรงที่เบอร์   02-2451399  หรือ  02-6441478  เท่านั้น
บุคคลที่ไม่ประสงค์ดีแอบอ้างใช้ชื่ออาจารย์เชี่ยว ชอบช่วย หรือ ผศ.ดร.ภัทรพล เวทยสุภรณ์ และสำนักงานบ้านไม่บานไปใช้ในการหลอกลวงให้หลงเชื่อในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์,การออกแบบ,การก่อสร้าง ฯลฯ ซึ่งทางสำนักงานบ้านไม่บานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้น หากท่านต้องการติดต่อกับทางสำนักงานต้องติดต่อโดยตรงที่เบอร์ 02-2451399 หรือ 02-6441478 เท่านั้น

ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ "ตักศิลา คเณศ์ธร"

  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
  • ศูนย์รวบรวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ “ตักศิลา คเณศ์ธร”
ครบรอบ 120 ปี “ศิลป์ พีระศรี”
ครบรอบ 120 ปี "ศิลป์ พีระศรี"

หน้าแรก arrow อ่านบทความย้อนหลังที่นี่ arrow เรือนชานบ้านเมือง arrow “งบประมาณแผ่นดินแบบสมดุลย์” ฝันที่เป็นจริง?
“งบประมาณแผ่นดินแบบสมดุลย์” ฝันที่เป็นจริง?

                ในยามที่ปัจจัยต่าง ๆ รอบตัวแทบทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ,สังคม ตลอดจนการเมืองที่ขาดเสถียรภาพและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน กอปรกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ที่เมื่อเกิดวิกฤติการณ์ทางการเงินขึ้นมาครั้งใด ประเทศไทยก็สะบักสะบอมไปทุกครั้ง รวมทั้งการที่ "กระแสสังคม" ให้การยอมรับปรัชญาแนวคิด "เศรษฐกิจพอเพียง" ว่าจะเป็น "ทางเลือก" อันเป็น "ทางรอด" อาจเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้กระทรวงการคลังโดยการนำของ รมว.กรณ์ จาติกวณิช ดำริจะจัดทำ "งบประมาณแผ่นดินแบบสมดุลย์" ให้ได้ภายใน 5 ปี โดยแผนปฏิบัติการขั้นแรกคือ "การปรับโครงสร้างภาษี" เพื่อให้สามารถจัดเก็บได้มากขึ้น เพื่อชดเชยกับ "งบประมาณแผ่นดินแบบขาดดุลย์" ซึ่งในทางปฏิบัติทั้งนักวิชาการด้านการเงินการคลังและบรรดาผู้ที่เคยบริหารงบประมาณแผ่นดินส่วนใหญ่ต่างก็เห็นว่าเป็นไปได้ยาก เพราะรัฐบาลไม่ได้มีการปรับปรุง "โครงสร้างภาษี" แบบจริงจังมาร่วม 20 ปี

                "ภาษี" ถือเป็นรายได้หลักของรัฐบาล แต่ระยะหลัง ๆ รัฐบาลก่อหนี้เพิ่มมากขึ้น จนต้องขอเพิ่มเพดานกู้หนี้ที่เดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 60% ของ "จีดีพี" ถึง 8 แสนล้านบาท เพื่อนำไปใช้จ่ายในการบริหารราชการแผ่นดินแบบ "ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" ที่เน้นไปทางโครงการที่เกี่ยวกับ "ประชานิยม" เป็นผลให้ฐานะหนี้สินในงบประมาณหรือหนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศหรือ "จีดีพี" จึงเพิ่มขึ้นเป็น 2.7 ล้านล้านบาท ซึ่งหนี้สินส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรของรัฐบาล ที่กระทรวงการคลังต้องชำระหนี้หรือซื้อคืนเป็นระยะเวลายาวนานถึง 32 ปี ทั้งนี้ เพราะกฎหมายกำหนดให้ชำระคืนได้ในวงเงินไม่เกิน 15% ของงบประมาณรายจ่ายของรัฐ คิดเป็นเงินแล้วประมาณปีละ 3.7 หมื่นล้านบาท หนี้ 4 แสนล้านบาทที่ตั้งเป้ากู้ในปีงบประมาณ 2554 นี้ จะต้องซื้อคืนพันธบัตรในปีที่ 6 โดยมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่าง 3.75-4% จึงเป็นอีกภาระหนึ่งที่ทำให้ระยะเวลาของการชำระหนี้ของรัฐบาลต้องยืดออกไป

                ดังนั้นถ้าจะจัดทำ "งบประมาณแผ่นดินแบบสมดุลย์" จะต้องใช้หนี้หรือซื้อคืนพันธบัตรให้หมดภายใน 5 ปี เฉลี่ยเงินต้นปีละ 5.4 แสนล้านบาท ซึ่งในทางปฏิบัติก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะติดเพดานชำระคืน 15% ดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้น ตาม พ.ร.บ. งบประมาณ รัฐบาลจะต้องใช้จ่ายในด้านลงทุนอีกประมาณ 20-22% ต่อปี สำหรับปีนี้สภาฯ ให้ปรับลดงบลงทุนภาครัฐเหลือเพียง 20% เพราะมีรายจ่ายจำนวนมหาศาลที่รออยู่ข้างหน้า โดยเฉพาะงบประมาณที่ใช้ในการชำระหนี้นั้นสูงมากจำเป็นต้องรัดเข็มขัดประหยัดกันทั้งระบบครับ

                เงื่อนไขอีกประการที่ทำให้ต้องจ่ายมากกว่ารับก็คือการตั้งนโยบายลดหนี้สาธารณะให้เหลือไม่เกิน 45% ของ "จีดีพี" ที่ยังมีตัวแปรอีกตัวหนึ่งนั่นคือตัวเลขดัชนีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีงบประมาณ 2554 ซึ่งประมาณการณ์กันว่าจะอยู่ประมาณ 4-5% (ลดจาก 7-8% ในปีงบประมาณ 2553) ด้วยเหตุที่การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกในภาพรวมชะลอตัว อันเป็นผลจากปัญหาหนี้สาธารณะของชาติใน "ยูโรโซน" ที่ทำให้มีการลดรายจ่ายภาครัฐบาลลง อีกทั้งในภาคการผลิตเองก็หดตัวลงทำให้รายได้จากการส่งออกลดลง เป็นผลให้รายได้ของรัฐที่จะมาจากภาษีก็ย่อมจะลดลงด้วย โดยปีที่ผ่าน ๆ มา 5 ปี อัตราเพิ่มขึ้นของรายได้มีสัดส่วนในงบประมาณเพียงปีละ 13% โดยปีงบประมาณที่แล้วทำได้เพิ่มแค่ 10.4% เท่านั้น หากจะให้ "งบประมาณแผ่นดินแบบสมดุลย์" จะต้องเพิ่มรายได้ขึ้นมาโดยเฉลี่ย 15.6% ต่อปีเป็นเวลาต่อเนื่องกันอย่างน้อย 5 ปี ในยามที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าการประมาณการเช่นนี้คงจะขยายรายได้จากภาษีได้ไม่ตรงตามเป้าหมาย นอกจากนี้รัฐบาลยังมีภาระผูกพันกับการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจพื้นฐานและโครงการลงทุนขนาดใหญ่ระดับ "เมกะโปรเจกต์" โครงการละหลายหมื่นล้านบาทอีกหลายโครงการ นี่ยังไม่นับรวมโครงการ "ประชานิยม" ในรูปแบบที่เร้าใจใหม่ ๆ อีก จึงจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มขึ้นอีก ก็จะเป็นผลให้สายหนี้ก็จะถูกลากยาวออกไปอีก (หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้คงใช้หนี้ไม่หมดภายใน 32 ปี) แต่โดยหลักการแล้วการจะทำ "งบประมาณแผ่นดินแบบสมดุลย์" ได้นั้น รัฐบาลจำเป็นต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายให้พอดีกับประมาณการรายได้หรือน้อยกว่ารายได้เพื่อเผื่อไว้สำหรับเป้าหมายจัดเก็บรายได้พลาดเป้า ทั้งนี้จะต้องไม่มีการกู้หนี้ยืมสินเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วก็ดูจะเป็นไปได้ยาก

                แต่อย่างไรเสียก็ขอเอาใจช่วยให้การทำ "งบประมาณแผ่นดินแบบสมดุลย์" ให้ประสบความสำเร็จ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลายาวนานเท่าไรก็ตาม เพราะส่วนตัวผมแล้วมีความศรัทธาต่อแนวคิด "เศรษฐกิจพอเพียง" ไม่อยากและไม่ยอมเป็นหนี้ใคร อีกทั้งยังไม่ชอบเห็นรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบไร้ปัญญาและไร้ความสามารถโดยการกู้หนี้ใหม่ มาชำระหนี้เก่า แบบที่เคยประพฤติปฏิบัติกันมา ก็ไม่เพราะบริหารจัดการเศรษฐกิจของประเทศกันแบบนี้ไม่ใช่หรือครับที่คนไทยล้วนแต่เป็นหนี้เป็นสินกันไปทั่วประเทศ หากจะว่ากันแบบไม่เกรงใจแล้ว คนไทยจัดได้ว่าเป็นคนที่ยากจนที่สุด เพราะขอเพียงแค่ได้เกิดมาลืมตาดูโลกบนพื้นดินสุวรรณภูมิอันอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติแห่งนี้ก็เป็นหนี้แล้วครับ

<Previous   Next>