 บุคคลที่ไม่ประสงค์ดีแอบอ้างใช้ชื่ออาจารย์เชี่ยว ชอบช่วย หรือ ผศ.ดร.ภัทรพล เวทยสุภรณ์ และสำนักงานบ้านไม่บานไปใช้ในการหลอกลวงให้หลงเชื่อในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์,การออกแบบ,การก่อสร้าง ฯลฯ ซึ่งทางสำนักงานบ้านไม่บานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้น หากท่านต้องการติดต่อกับทางสำนักงานต้องติดต่อโดยตรงที่เบอร์ 02-2451399 หรือ 02-6441478 เท่านั้น |
|
|
 |
ครบรอบ 120 ปี "ศิลป์ พีระศรี" |
|
|
“อาบัง”ฤๅจะ แซงหน้า “อาเฮีย” (2) |
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้พูดถึงอภิมหากาพย์
"ศึกชนช้าง" ของ "อินเดีย" หรือ "อาบัง" กับ "จีน" หรือ "อาเฮีย"
ซึ่ง "พี่เบิ้ม" แห่ง
"เอเชีย" ที่ชอบกิน "โรตี" และ "บะหมี่" ทั้งสองนี้มีหลายสิ่งที่คล้ายคลึงกันและแตกต่างกันบนพื้นฐานของขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมที่มีอายุพันปีเช่นกัน
อีกทั้งยังเป็นเพื่อนบ้านกัน มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดดที่สูงกว่า
8 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน มีประชากรหลักพันล้านคนเช่นกัน ซึ่งในปัจจุบัน "อาบัง" มีจำนวนประชากรวัยเจริญพันธ์มากที่สุดในโลก
คือ มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ประมาณกว่า 500 ล้านคน "ทรัพยากรมนุษย์" จำนวนมหาศาลเหล่านี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในอนาคตของ
"อินเดีย" แม้แต่นิตยสาร "The Economist" อันทรงอิทธิพ
ลของเกาะ "อังกฤษ" ก็ยังได้ตีพิมพ์บทวิเคราะห์ที่น่าสนใจยิ่งว่า
ภายในระยะเวลาอีก 3-5 ปี ข้างหน้า "อาบัง" มีแนวโน้มว่าอาจแซงหน้า "อาเฮีย" นอกจากนั้นในหนังสือชื่อ "The Elephant
and the Dragon" ของ "Robyn
Meredith" ได้วิเคราะห์ถึงที่มาของความสำเร็จทางเศรษฐกิจอย่างคาดไม่ถึงของทั้ง
"อาบัง" และ "อาเฮีย" ที่อาจทำให้ศูนย์ถ่วงของอำนาจโลกกำลังเคลื่อนตัวมาสู่
"เอเชีย"
ส่วนเรื่องระบบการปกครองนั้น"อาบัง" ได้เปรียบ "อาเฮีย" เพราะ
"ระบอบประชาธิปไตย" ของ "อาบัง" นั้นได้ผ่านกระบวนการปรับปรุงดัดแปลงเพิ่มเสริมเติมแต่งให้เข้ากับขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมของ
"อินเดีย" มาตั้งแต่ได้รับเอกราชจาก "อังกฤษ" ส่วน "จีน" นั้นยังคงเป็น "ระบอบสังคมนิยม" ถึงแม้จะพยายามประคองนโยบาย "ประชาธิปไตยครึ่งใบ" ประเภท "หนึ่งประเทศสองระบบ" แต่จะไปได้อีกนานเท่าไรหรือที่สุดแล้วจะพัฒนาออกมาเป็นลูกผสมที่เหมาะสมในรูปแบบใดก็ยังไม่ทราบได้
นอกจากนั้น "อาเฮีย" ยังมีปัญหาในด้าน
"สิทธิมนุษยชน" เพราะประชาชนถูกกดให้อยู่ในความเข้มข้นของ
"เบ้าหลอม" ทางความคิดในระบอบ "คอมมิวนิสต์" มาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีตั้งแต่ยุค
"ประธานฯ เหมา" อีกทั้งบทบาทของ
"อาเฮีย" ในเวทีโลกถือได้ว่ายังเป็นรอง "อาบัง" เพราะ "อาเฮีย" ได้รับฉายาว่าเป็น "จอมประท้วง"
เพราะไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ก็จะทำการประท้วงไปหมด ทำให้ภาพลักษณ์โดยรวมของ
"จีน" จึงดูเหมือนมีทัศนคติที่คับแคบ
สร้างศัตรูไว้มากโดยเฉพาะกับ "สหรัฐฯ" ที่ผูกใจเจ็บได้ "ลับมีด" เตรียมอยู่แล้ว พฤติการณ์ของ "อาเฮีย" ในเวทีการฑูตโลกเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของตนเองเป็นส่วนใหญ่ หากมองในมุมของนักเศรษฐศาสตร์
ต่อให้ "จีน"
มีความเติบโตอย่างต่อเนื่องในอดีตยาวนานถึง 20 ปี แต่นั่นมิใช่เรื่องสำคัญ หากประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า
ประเทศใดจะมี "พลวัตรในการพัฒนา" อย่างต่อเนื่องไปในอนาคตอันใกล้และไกลมากกว่ากัน
แต่หากจะว่าตามความเป็นจริงแล้วข้อด้อยของ
"อาบัง" ก็มีไม่น้อย เช่น การเริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจโดยรวมล่าช้า
เป็นผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ "อินเดีย" เท่ากับ 1 ใน 4 ของ "จีน" เท่านั้นเอง นอกจากนั้นอัตราของ "อาบัง" ที่รู้หนังสือมีเพียงร้อยละ 66 เท่านั้นในขณะที่ "อาเฮีย" สูงถึงร้อยละ 93 อีกทั้งสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานยังล้าหลังอยู่มาก
มีการคอร์รัปชั่นทุจริตโกงกินกันอย่างแพร่หลาย อีกทั้งการบริหารจัดการของ "อาบัง" เมื่อเทียบกับ "อาเฮีย"แล้วยังทิ้งห่างกันอยู่มาก ทั้งนี้หากได้ทำการวิเคราะห์จากความสมดุลของตลาด
เมื่อเทียบกับ "อาเฮีย"
แล้วเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจของ "อาบัง" ยังเป็นระบบปิดอยู่ จึงมีนักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ว่า
"อาบัง" จะแซงหน้า "อาเฮีย" ในอนาคตอันใกล้นี้
อย่างไรก็ตามไม่ว่า
"อาบัง"
หรือ "อาเฮีย"
ใครจะล้ำหน้าใครแต่การเจริญเติบโตในภาพรวมของ ภูมิภาค "เอเชีย" อย่างมั่นคงและยั่งยืนได้นั้นจำต้องอาศัยทั้ง "อาเฮีย" และ "อาบัง" เป็นหัวหอกที่สำคัญในการขับเคลื่อนไปข้างหน้า
สำหรับผมแล้วเชื่อว่าอนาคตของ "เอเชีย" นั้นแท้จริงแล้วขึ้นอยู่บนพื้นฐานแห่งความร่วมมืออย่างเสมอภาคในทุก "มิติ" อย่างจริงใจและจริงจังระหว่าง "อาเฮีย" กับ "อาบัง" ที่จำเป็นต้องธำรงรักษาไว้ซึ่งการพัฒนาความสัมพันธ์อย่าง "สมดุลย์" ทั้งทางเศรษฐกิจ,สังคมและการเมือง รวมทั้งการทหาร
ให้เกิดเสถียรภาพขึ้นในภูมิภาคที่จะเป็น "พลวัตร" ที่สำคัญในการผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอภิมหาอำนาจแห่ง
"เอเชีย" นี้ให้ก้าวหน้าไปพร้อมกันและนำความเจริญอย่างยั่งยืนมาสู่
"เอเชีย" โดยรวมครับ
|
|
|