เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมในฐานะ
"สุนัขเฝ้าบ้าน" ได้ "เตือนสติ" ถึงการลงทุนของ "จีน"ในโครงการศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ "ไทย"- "จีน" ย่านบางนา - ตราดซึ่งจะเป็น "ศูนย์ค้าส่ง" ขนาดยักษ์ที่มีพื้นที่ถึง 2 ล้านตารางเมตร จะมีผู้ประกอบการค้าส่งมากถึง
7 หมื่นราย และคาดว่าจะใช้เงินลงทุนสูงถึง 45,000 ล้านบาท จากการรุกคืบเข้ามาดังกล่าวบรรดาผู้ประกอบการ
"ไทย" ทั้งกลุ่มค้าปลีกและส่งขนาดใหญ่ ลงมาถึงบรรดากลุ่ม "เอสเอ็มอี" เริ่มหวั่นวิตกว่าอนาคตอันใกล้อาจจะได้รับผลกระทบรุนแรงถึงขั้นต้องเลิกกิจการกันไป
อันเนื่องมาจาก "ไทย" มีช่องให้ทาง "มังกร" ผ่าน ซึ่งจะเป็นผลให้สินค้า
"จีน"
มีโอกาสให้ไหลทะลักเข้ามาตีตลาดส่งผลให้ผู้ประกอบการบางส่วนเริ่มออกมาแสดงความเห็นในเชิงคัดค้านต่อต้านการลงทุนศูนย์ค้าส่งสินค้าของ "จีน" ใน "ไทย" ในครั้งนี้ พร้อมกล่าวโจมตีรัฐบาลว่ามีทัศนคติที่คับแคบเห็นแก่เม็ดเงินลงทุนของต่างชาติ
กลับไม่สนใจว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการน้อย - ใหญ่ในประเทศนับหมื่นราย เพราะทุกวันนี้ถึงแม้จะมีสินค้า
"จีน" วางจำหน่ายอยู่ทั่วไป แต่ก็เป็นการนำเข้าเฉพาะกลุ่มที่ยังก่อให้เกิดการสร้างอาชีพและมีการสร้างรายได้ภายในประเทศกระจายกันหลายชั้น
ซึ่งต่างกับการเปิดศูนย์ค้าส่งขนาดยักษ์ที่ไม่ช้าหรือเร็วก็จะตัดช่องทางทำมาหากินของบรรดาผู้ประกอบการน้อยใหญ่ในประเทศ อีกทั้งยังอาจจะเป็นการ "ชักศึกเข้าบ้าน" แบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นำพาผู้ประกอบการของ "จีน" นับหมื่นรายที่เข้มแข็งกว่าเข้ามาทำการค้าแข่งกับผู้ประกอบการ "ไทย" ผู้เป็นเจ้าของประเทศ
ดังนั้นทั้งภาครัฐและภาคเอกชนย่อมไม่อาจละเลยที่จะทำการวิเคราะห์เจาะลึกลงไปในรายละเอียดของนโยบายการลงทุนของ
"จีน" ดังกล่าว โดยจำเป็นที่จะต้องศึกษาผลกระทบในมิติต่าง
ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และในขณะเดียวกันก็จะต้องสร้างความรู้ความเข้าใจต่อสังคม
"ไทย" ด้วยว่า ในปัจจุบันนี้ไม่ใช่ยุคของการตั้ง
"กำแพงกีดกันทางการค้า" และไม่ใช่ยุคของการทำการค้าแบบ
"ผูกขาด" อีกต่อไปครับ อีกทั้งในโลกแห่งความจริงวันนี้
คือ "จีน" ซึ่งเดิมเปรียบเหมือน
"มังกรหลับ" ได้ตื่นขึ้นมากลายเป็น
"มังกรผงาดฟ้า"
ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน "จีน" ยังเป็นอันดับสองรองจาก "สหรัฐอเมริกา" โดยมีขนาดเศรษฐกิจยังทิ้งห่างกันเกือบสองเท่าตัว แต่ก็ได้มีการคาดการว่าภายในหนึ่งทศวรรษ นับจากนี้ "จีน" จะก้าวขึ้นมาเทียบชั้นในระดับเดียวกันกับ
"อเมริกาสองทศวรรษมีความเป็นไปได้ที่ "จีน" จะเริ่มทิ้งห่าง "อเมริกา" ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และนวัตกรรมใหม่
ๆ ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต อีกทั้งยังมีการคาดการณ์อีกว่าภายในไม่เกิน
นอกจากนั้นในภาพรวม "ไทย" กับ "จีน" นั้นมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมายาวนานกว่า
700 ปี ตั้งแต่สมัย "สุโขทัย"
เรื่อยมาและอาจกล่าวได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านประเภท
"ปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้าย" ที่มีดินแดนติดต่อกันเสียอีก
ในปี 2553 "ไทย" ส่งออกสินค้าไป
"จีน"เป็นมูลค่ารวมประมาณ 6 แสนล้านบาท
นำเข้าสินค้าจาก "จีน" เป็นมูลค่ารวมประมาณ
7 แสนล้านบาท ทำให้ขาดดุลการค้าประมาณ 1 แสนล้านบาท พอเปิดช่องทาง "มังกร" ผ่านนับต่อแต่นี้ไป
"ไทย" ก็จะขาดดุลการค้า "จีน" มากขึ้นเรื่อย ๆ อีกหลายเท่าทวีคูณ หากมองเชิงลบคือ
"ความเสียเปรียบ" ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ใน "วิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ" ครับ หาก "ไทย" รู้จักปรับตัวเอง
ทั้งภาครัฐและเอกชนมีการวางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างประสานสอดคล้องและสมดุลย์กับอภิมหาอำนาจอย่าง
"จีน" ใช้ประเทศที่มีฐานประชากรกว่า
1,200 ล้านคนให้เป็นตลาดรองรับสินค้าและการให้บริการตลอดจนการลงทุนของ "ไทย" รวมทั้งอาศัยนโยบายในการขยายโครงข่ายอิทธิพลทางเศรษฐกิจของ
"จีน" ในภูมิภาค "อาเซียน" และ "เอเชีย" ตลอดจน "ตลาดโลก" ให้เป็นแรงขับที่จะส่งผลในด้านบวกต่อเศรษฐกิจ
"ไทย" พร้อม ๆ
กับการพัฒนายกระดับคุณภาพสินค้าและบริการของ "ไทย"ให้ตอบสนองทั้งตลาด "จีน", "อาเซียน" และ "เอเชีย" ตลอดไปจน "ตลาดโลก" รวมทั้งพยายามรักษา "ความเป็นกลาง" ไม่โอนเอียงไปทางอภิมหาอำนาจชาติหนึ่งชาติใดจนเกินไป
มาเตรียมการรับมือกันในแนวทางเช่นนี้น่าจะเป็นผลดีกว่ามาคิดคัดค้านต่อต้าน
ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าอย่างไรเสียก็มิอาจทานกระแสการรุกคืบเข้ามาของชาติอภิมหาอำนาจอย่าง
"จีน" ได้ ดังนั้นเมื่อดินแดน "สุวรรณภูมิ" ที่รักยิ่งของเรากำลังกลายเป็นทาง "มังกร" ผ่าน ก็ยิ่งต้องพึงระมัดระวังและประคับประคองตนอย่าง"รู้เท่าทัน" โดยไม่ประมาทเด็ดขาดครับ
|