สวัสดีครับแฟน ชาว "คนรักบ้าน" ก็คงต้องยอมรับนะครับว่ารูปแบบการใช้ชีวิตในเมืองได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เป็นประเภท
"บ้านเดี่ยว"
หนึ่งชั้นหรือสองชั้น
บนพื้นที่ดิน 50 ตารางวา โดยประมาณ ซึ่งในปัจจุบันที่ดินขนาดนี้สำหรับบ้านพักอาศัยเป็นหลังๆ ก็หากันแทบไม่ได้แล้วครับ เพราะราคาที่ดินได้ถีบตัวสูงขึ้นไปจากเดิมนับสิบเท่า จากแต่ก่อนที่ดินซื้อขายกันตารางวาหลักพันบาท กลายเป็นตาราวาหลักหมื่นบาทต้น ๆ จนถึงหลักหมื่นบาทแก่
ๆ แล้วครับ (อาจจะสูงถึง 60,000
ถึง 90,000 บาท
ต่อตารางวา) เผลอ ๆ ดีไม่ดีในบางทำเลที่เดิมอาจจะอยู่ในย่านชานเมือง แต่ในปัจจุบันการคมนาคมสะดวก เพราะอยู่ใกล้กับขนส่งมวลชนประเภทรถไฟฟ้า,รถไฟใต้ดิน, ทางด่วน ฯลฯ เป็นผลให้ที่ดินก็มีราคาพุ่งพรวดขึ้นไปเป็นตารางวาละ
แสนบาทกันเลยทีเดียว
และผมขอฟันธงลงไปตรงนี้ครับว่า
ในอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและการขยายตัวของการตั้งถิ่นฐานชุมชนอย่างเช่นในปัจจุบันจะส่งผลให้ในอนาคตราคาที่ดินก็จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าทวีคูณ ประกอบกับ
"อัตราเงินเฟ้อ" (Inflation)
ในปัจจุบันมีอัตราโดยเฉลี่ย 3-5 เปอร์เซ็นต์ต่อปีเป็นอย่างน้อย ส่งผลให้ในอนาคตเงินก็จะมีค่าลดลง
ที่ดินซึ่งเป็นทรัพยากรอันมีค่ายิ่งและมีอยู่อย่างจำกัดไม่สามารถเพิ่มได้ก็จะทวีมูลค่าขึ้น แต่จำนวนประชากรซิครับขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในสมัยที่คุณพ่อผมยังเป็นบัณฑิตใหม่ที่เพิ่งจบจากคณะ "นิติศาสตร์" มหาวิทยาลัย "ธรรมศาสตร์" ใหม่ ๆ (สมัยนั้นเรียกว่า
"ธรรมศาสตร์และการเมือง") ได้เข้าร่วมกับขบวนการ "เสรีไทย" พอสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง คุณพ่อก็ได้เข้ารับราชการเป็นปลัดอำเภอเมื่อ 60 กว่าปี ล่วงแล้ว
คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า สมัยนั้นประเทศไทยมีพลเมืองประมาณ 10 กว่าล้านคน ผ่านมาไม่นานในปัจจุบันประเทศไทยของเรามีพลเมืองกว่า 70
ล้านคน แต่หากรวมบรรดาประชากรแฝงต่างชาติทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมายต่าง
ๆ ที่อาศัยทำมาหาเลี้ยงชีพภายในร่ม "พระบรมโพธิสมภาร" อาทิเช่น
เขมร,พม่า, ลาว,เวียดนาม,จีน,ญี่ปุ่น,ฝรั่ง ฯลฯ และรวมไปถึงบรรดานักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมเยียนประเทศของเราแบบชั่วครั้งชั่วคราวสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป รวม
ๆ กันกับประชากรไทยแล้ว ผมเชื่อว่าน่าจะเกือบ 100
ล้านคน ซึ่งก็เป็นไปได้ทำให้ไม่แปลกใจหรอกครับว่าเมื่อมีคนจำนวนมากมายมหาศาลขนาดนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ก็ทำให้สังคมไทยเกิดการขยายตัวในทุก
"มิติ" แบบก้าวกระโดด ผมนึกถึงคำของ
"ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากร"
ที่เคยวิพากษ์ไว้ว่าการเจริญเติบโตของทางเศรษฐกิจและสังคมของบ้านเรานั้นเป็นเหมือน
"เด็กหัวโต แข้งขาลีบเป็นโปลิโอ" หากดูผิวเผินเหมือนเด็กที่โตไว แต่เป็นการเติบโตแบบขาดสารอาหาร จึงเกิด
"ช่องว่าง"ทางโครงสร้างของสังคมของประเทศแบบ "รวยกระจุก
จนกระจาย" ซึ่งหลักฐานก็ได้ชี้ชัดจากการที่รัฐบาลได้เปิดให้ลงทะเบียนคนยากจนที่มีรายได้ต่ำกว่า 8,000++ต่อเดือน หรือ ไม่เกิน
100,000 บาทต่อปี ซึ่งมีคนยากจนมาลงทะเบียนทั้งหมด 8,321,775 คน คิดเป็นสัดส่วน
12.4% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ เป็นสถิติตัวเลขที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งครับว่า คนจำนวนไม่น้อยในประเทศนี้ยังเป็นคนยากจน หากไม่สามารถลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำของความร่ำรวยและยากจนที่กำลังขยายตัวขึ้นเรื่อย
ๆ ได้ สังคมก็จะขาดเสถียรภาพ

สำหรับรูปแบบของ "โฮมส์ออฟฟิศไม่บาน"
ในสไตล์ "นีโอคลาสสิค" ที่ผมนำเสนอกับแฟน
ๆ ในสัปดาห์นี้ จึงเป็นการไปแก้ที่ "แก่น"
ของ "ปัญหา" ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยครับ เพราะเมื่อที่ดินมีราคาสูงขึ้น สมาชิกในครอบครัวก็ได้เพิ่มมากขึ้น บ้านที่เคยอยู่ก็ตกอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม
ตามกาลเวลา ก็เกินกว่าจะซ่อมแซมเยียวยาได้ สู้รื้อบ้านเก่าทิ้ง แล้วสร้างเป็น
"โฮมส์ออฟฟิศ" สูง 3
ชั้น ได้ถึง 2 คูหา
มีห้องรวมกันได้ถึง 12 ห้องนอน
12 ห้องน้ำ ก็น่าจะดีกว่า
สามารถตอบโจทย์ได้มากกว่า
นอกจากนั้นบริเวณชั้นล่างก็สามารถทำเป็นออฟฟิศหรือทำกิจการค้าขายเล็ก
ๆ น้อย ๆ
ตามกำลังความรู้,ความสามารถและความชำนาญที่มี เป็นการเดินตาม "แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง" ที่ทำอย่าง
"เป็นขั้นเป็นตอน" แบบ "เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละเรื่อง" และข้อสำคัญคือ บรรดาสมาชิกในครอบครัวก็สามารถอยู่ร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาและมีความสุข ไม่ตกอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดดังเช่นเป็นอยู่ในปัจจุบัน ที่ต้องแยกย้ายกันไปทำมาหากินต่างถิ่นไกล ๆ
นอกจากนั้นผมยังตั้งใจที่จะออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกของ "โฮมส์ออฟฟิศไม่บาน" 2
คูหานี้ให้ดูเด่นเป็นสง่า เพื่อให้
"สวยที่สุดในซอย" ในสไตล์ "นีโอคลาสสิค" หรือแปลเป็นไทยแบบตรงตัวว่าเป็น "คลาสสิคสไตล์ใหม่" ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบ "บ้านไม่บาน" ในเมืองที่เรียกว่า "โฮมส์ออฟฟิศไม่บาน" ประเภท
"อกาลิโก ไฮโซ โลว์คอส"
ที่อยากให้แฟน ๆ นำไปต่อยอดกันครับ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ ท่านใดที่สนใจติดตามความเคลื่อนไหว ตลอดจนกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ในรูปแบบต่าง
ๆ ของผม
รวมไปถึงข่าวสารแบบ "Update"ที่รวดเร็วทันใจได้จาก Fan Page https ://www.facebook.com/อ-เชี่ยว-ชอบช่วย ครับ
สำหรับสาระน่ารู้ในสัปดาห์นี้คงมีแค่นี้ พบกับสาระน่ารู้ของ "คนรักบ้าน"
กันได้ใหม่ในอีกสองสัปดาห์หน้าครับ
|